-
<h1 style="text-align: center;"><img class="alignnone wp-image-70" src="http://www.business.co.th/wp-content/uploads/2019/06/Logo3_Home-300x164.png" alt="" width="391" height="218" /></h1> <hr /> <p style="text-align: center;">ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจและสร้างประโยชน์สูงสุดในระดับสากล</p> <p> </p> <p style="text-align: center;"><strong>ข้อมูลสถานที่<br /> ชลธี คอฟฟี่ (บริษัท ควิกแอคเคาท์ติ้ง จำกัด สาขา 2)<br /> 3/1,3/2 ซอย รามคำแหง 164 แขวง มีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร 10510<br /> โทร <a href="http://Tel:0948691111">094-869-1111</a><br /> ***เข้ามาในซอยรามคำแหง 164 ตรงมาที่แยก 3</strong></p> <p style="text-align: center;"></p> <p> </p> <p><center><iframe style="border: 0;" src="https://www.google.com/maps/embed?pb=!1m14!1m12!1m3!1d575.9825163306809!2d100.7100816014263!3d13.794963436181297!2m3!1f0!2f0!3f0!3m2!1i1024!2i768!4f13.1!5e0!3m2!1sth!2sth!4v1688111586803!5m2!1sth!2sth" width="600" height="450" allowfullscreen="allowfullscreen"></iframe></center></p>
“เส้นทางสู่ตลาดหลักทรัพย์”
business.co.th
รับวางระบบสำหรับการนำธุุรกิจเข้าสู่ IPO ตลาดหลักทรัพย์ ด้วยทีมงานคุณภาพ และมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นแหล่งระดมทุน
ระยะยาวสำหรับบริษัทไทยและบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่
และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) เป็นแหล่งระดมทุน
สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพการ
เติบโตสูง เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน มีการบริหารงาน
อย่างโปร่งใส มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความรับผิดชอบ
ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจและเพิ่ม
ความพร้อมและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ประโยชน์ในการเข้าจดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์
-
OWNER’S BENEFITS
<p>สะท้อนมูลค่าธุรกิจตามราคาตลาด จัดสรรผลประโยชน์ ภายในครอบครัว ปรับโครงสร้างธุรกิจ ให้มีระบบระเบียบอย่างมืออาชีพ</p> -
EFFICIENCY
<p>เพิ่มประสิทธิภาพและ ความโปร่งใสให้บริษัทระบบบัญชี/ควบคุม ภายในที่มีมาตรฐานเป็นองค์กรสำหรับผู้บริหารมืออาชีพ</p> -
GROWTH
<p>เพิ่มช่องทางในการ ระดมทุนระยะยาวเสริมสร้างภาพลักษณ์ชื่อเสียงของบริษัทเพิ่มโอกาสในการหา พันธมิตรทางธุรกิจ</p>
ข้อดี-ข้อเสีย
ของการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

Initial Public Offering (IPO)
ปัจจุบัน เราจะเห็นว่ามีหุ้น IPO ใหม่ๆ ออกมามากมายจนเลือกกันไม่ถูก และดูเหมือนว่า ใคร ๆ ก็อยากจะ IPO ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ทั้งที่ซื้อขายในตลาด SET และ MAI) ทั้งสิ้น กว่า 700 บริษัท แต่การ IPO คืออะไรและเค้าเตรียมตัวกันยังไงเรามาสรุปกันตรงนี้

IPO คืออะไร
IPO มาจากคำว่า Initial Public Offering ซึ่งหมายถึงการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ซึ่งที่เห็นทั่วไปจะเป็นหุ้นของบริษัทที่ออกใหม่แต่บางครั้งเราก็อาจเห็นกองทุนที่เปิดใหม่ก็เรียกกันว่า IPO เช่นกัน แต่ในที่นี้เราจะเน้นถึงหุ้นของบริษัทที่ออกและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก
ทำไมต้อง IPO
เหตุผลมีหลายอย่าง แต่หลัก ๆ คือการเพิ่มช่องทางการระดมทุนของบริษัท สร้างภาพลักษณ์ ชื่อเสียงของบริษัท เพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ถือหุ้นคือสามารถขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ทันที กรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นบุคคลธรรมดาก็จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำกำไรจากการขายมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหากเป็นการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ และกรณีที่บริษัทเป็นธุรกิจครอบครัวก็สามารถเปลี่ยนจากการบริหารงานครอบครัวมาสู่การบริหารงานแบบมืออาชีพ สามารถสร้างความมั่นคง และการสืบทอดธุรกิจในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน (sustainability) แต่แน่นอน With great power comes great responsibility เปล่า ไม่ใช่ Spiderman! แต่เมื่อเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้วก็จะมีหน้าที่และความรับผิดต่างๆ มากขึ้น เช่นหน้าที่และความรับผิดของกรรมการ หน้าที่การเปิดเผยข้อมูลต่างๆ เป็นต้น
ประเภทของ IPO
IPO ที่เห็นทั่วไปมี 2 ประเภทคือ
- IPO ที่ออกและเสนอขายในประเทศ (Domestic IPO) ส่วนนี้จะมีเรื่องการขออนุญาตและยื่นแบบคำขอและแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) กับ สำนักงาน กลต. และจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ และ
- IPO ที่ออกและเสนอขายในประเทศและต่างประเทศด้วย (International Offering) คือนอกจากจะดำเนินการกับสำนักงานกลต. ไทยและตลาดหลักทรัพย์ไทยแล้ว ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่างประเทศด้วย เช่นการเสนอขายแบบ Regulation S (คือเสนอขายให้กับคนที่ไม่ใช่ US Person หรือไม่ได้เสนอขายใน US) หรือแบบ 144A (คือเสนอขายให้กับผู้ลงทุนสถาบันใน US) ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย
ใครจะ IPO ได้บ้าง
หลักๆ ก็จะเป็นบรรดาบริษัทที่ประกอบกิจการอยู่แล้วหรือธุรกิจครอบครัวต่างๆ พวกนี้อาจใช้บริษัทที่ประกอบกิจการเองมา IPO หรือใช้บริษัท Holding ที่ถือหุ้นในบริษัทประกอบกิจการมา IPO หรือบางครั้งก็จะเห็นบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้บริษัทแม่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว Spin off ออกมา IPO ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีคุณสมบัติครบตามที่ กลต. และตลาดหลักทรัพย์กำหนด รวมถึงจะต้องมีสภาพเป็นบริษัทมหาชน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าบริษัทที่ IPO จะต้องดำเนินการแปรสภาพบริษัทจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนก่อนการ IPO
ตามกฎหมายปัจจุบัน บริษัท เมื่อเป็นบริษัทมหาชนแล้ว จะเปลี่ยนกลับมาเป็นบริษัทจำกัดไม่ได้แล้ว ดังนั้น ก่อนการแปรสภาพควรต้องพิจารณาดี ๆ ถึงความพร้อมเพราะจะกลับมาเป็นบริษัทจำกัดเหมือนเดิมไม่ได้อีก

ผู้ที่เกี่ยวข้องใน IPO
IPO ที่เห็นทั่วไปมี 2 ประเภทคือ
บุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ IPO มีหลายฝ่ายดังนี้
- กลต. / สำนักงาน กลต. เป็นหน่วยงานที่ออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการ IPO และเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูลของกิจการและอนุญาตให้ออกและเสนอขายหลักทรัพย์
- ตลาดหลักทรัพย์ เป็นหน่วยงานที่ผู้ออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และเป็นผู้อนุญาตให้หลักทรัพย์ของบริษัทเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
- กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการแปรสภาพบริษัทจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนและการเพิ่มทุนของบริษัทสำหรับการ IPO
- ที่ปรึกษาทางการเงินจะเป็นผู้ให้คำแนะนำและคำปรึกษาตลอดกระบวนการ IPO และการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รวมถึงทำหน้าที่ยื่นแบบ Filing
- ที่ปรึกษากฎหมายจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษากฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการ IPO และการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- ผู้สอบบัญชีจะทำหน้าที่ตรวจสอบงบการเงินของกิจการ
- ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์หรือ Underwriter เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่จะช่วยกระจายหุ้นให้แก่นักลงทุนทั่วไป
- ผู้ตรวจสอบอื่นเช่น Internal Audit จะทำหน้าที่ช่วยตรวจสอบสภาพของกิจการเช่นการควบคุมภายใน
- ผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินจะมาดูแลเกี่ยวกับการประเมินราคาสินทรัพย์
จะ IPO ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
บริษัทที่จะ IPO ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ กลต. และตลาดหลักทรัพย์กำหนด เช่น มีโครงสร้างการถือหุ้นที่ชัดเจน เป็นธรรม ไม่มีการถือหุ้นไขว้ มีกรรมการอิสระและคณะกรรมการตรวจสอบ มีทุนชำระแล้ว ผลการดำเนินงาน (Track Record) และการกระจายหุ้นตามที่กำหนด เป็นต้น
ขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับ IPO
IPO ที่เห็นทั่วไปมี 2 ประเภทคือ
ในทางปฏิบัติ บริษัทที่จะ IPO อาจต้องใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 1 – 2 ปีก่อนเข้ากระบวนการ IPO ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อม และประเด็นต่าง ๆ ที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุง โดยขั้นตอนการ IPO จะประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
- การปรับโครงสร้างของบริษัท ตรงนี้ที่ปรึกษาต่างๆ จะเข้ามาตรวจสอบสถานะของบริษัท บริษัทเองก็จะมีการปรับโครงสร้างบริษัทและโครงสร้างทุน มีการแต่งตั้งกรรมการอิสระและคณะกรรมการตรวจสอบ รวมถึงการแปรสภาพบริษัทจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนและอนุมัติกฎบัตร นโยบายต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกำหนด
- ขั้นตอนการอนุญาต ตรงนี้จะเป็นการเตรียมและยื่นแบบคำขออนุญาตและแบบ Filing ซึ่งเป็นเอกสารการเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ของกิจการ รวมถึงการจัดเตรียมและยื่นคำขอจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์
- งบการเงิน ตรงนี้บริษัทร่วมกับผู้สอบบัญชีจะต้องมีการจัดเตรียมงบการเงินต่าง ๆ ซึ่งงบการเงินจะต้องมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ โดยจัดทำขึ้นตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินและต้องผ่านการตรวจสอบ หรือสอบทาน (กรณีงบการเงินรายไตรมาส) จากผู้สอบบัญชีที่สำนักงาน กลต. ให้ความเห็นชอบ
- การเสนอขาย ก่อนที่ร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับ ทางผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จะการทำสำรวจความต้องการการซื้อหลักทรัพย์ อาจจะมีการทำ Roadshow เพื่อแนะนำหลักทรัพย์ให้เป็นที่รู้จัก และเมื่อร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับก็จะมีการเสนอขายหลักทรัพย์ และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตามกฎหมาย บริษัทจะต้องขายหุ้นให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่สำนักงาน กลต. แจ้งการอนุญาต และสามารถขอขยายระยะเวลาได้อีก 6 เดือน นอกจากนี้ ผู้เข้าข่าย Strategic Shareholders เช่นกรรมการ ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นเกินกว่า 5% จะถูกห้ามนำหุ้นของตนซึ่งมีจำนวนรวมกัน 55% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO ออกขายภายใน 1 ปี นับแต่วันที่หุ้นเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม สามารถทยอยขายหุ้นได้ไม่เกิน 25% ของหุ้นที่ถูกห้ามขายเมื่อครบ 6 เดือน
ประโยชน์ทางภาษี
การ IPO มีประโยชน์ทางภาษีของผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดาคือเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ (post-IPO) จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนบริษัทที่ IPO เองก็จะมีประโยชน์ทางภาษีคือจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในส่วนของเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจำกัดอื่นๆ ที่บริษัทจดทะเบียนถือหุ้น โดยจะต้องถือหุ้นไว้น้อยกว่า 3 เดือนก่อน และหลังวันที่ได้รับเงินปันผล